วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Future Simple Tense

Future Simple Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา (Adverb of time)
Tomorrow (พรุ่งนี้), next year (ปีหน้า), next month (เดือนหน้า), next week (สัปดาห์หน้า), soon (ในไม่ช้า) แทรกอยู่ในประโยค



รูปประโยค Future Simple Tense มี 2 แบบ ดังนี้

แบบที่ 1 ใช้ “shall / will” นำหน้าคำกริยา

ประธาน
Subject
คำกริยาช่วย
Helping Verb
คำกริยาแท้
Verb
กรรม
Object
ส่วนขยาย
Complement
I / We
shall
V.1
Noun / Pronoun
Adverb of Time
You / They
He / She / It
will
We shall wash our shoes next week.
Malee will clean the room tomorrow.
They will play football this evening.
หมายเหตุ  ปัจจุบันนี้ I / We ใช้ will ก็ได้


แบบที่ 2 ใช้ “be going to” นำหน้าคำกริยา
ประธาน
Subject
คำกริยาช่วย
Helping Verb
คำกริยาแท้
Verb
กรรม
Object
ส่วนขยาย
Complement
I
am going to
V.1
Noun / Pronoun
Adverb of Time
He / She / It
is going to
You / We / They
are going to
I am going to swim tomorrow.
She is going to travel by van.
He is going to study in Australia.
They are going to Chiangmai next Saturday.
We are going to Pattaya tomorrow.

ข้อสังเกต
ประโยค Future Simple Tense ที่ใช้ “be going to + V.1” นั้น นำคำกริยาช่องที่ 1 เป็น go มักจะละ go ไว้


ประโยคปฏิเสธของ Future Simple Tense.
การทำประโยคบอกเล่าของ Future Simple Tens ให้เป็นประโยคปฏิเสธให้เติม not หลังคำกริยาช่วย will, shall, is, am, are

ประโยคบอกเล่า (Affirmative)
ประโยคปฏิเสธ (Negative)
I shall go to Singapore tomorrow.
He will do homework tonight.
They are going to sleep soon.
She is going to Phuket next week.
We are going to Malaysia tomorrow.
I shall not (shan’t) go to Singapore tomorrow.
He will not (won’t) do homework tonight.
They are not (aren’t) going to sleep soon.
She is not (isn’t) going to Phuket next week.
We are not (aren’t) going to Malaysia tomorrow.


ประโยคคำถามของ Future Simple Tense
การทำประโยคบอกเล่าของ Future Simple Tense ให้เป็นประโยคคำถามให้นำ will, shall, is, am, are มาวางไว้หน้าประโยคหลังใส่เครื่องหมายคำถาม (Question Mark) ท้ายประโยค



ประโยคบอกเล่า (Affirmative)
ประโยคคำถาม (Interrogative)
The train will leave at 7 a.m.
We are going to eat salad tomorrow.
He is going to America next year.
Will the train leave at 7 a.m.?
Are we going to eat salad tomorrow?
Is he going to America next year?


การตอบคำถามในประโยคคำถามของ Future Simple Tense
ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย will, shall, is, am, are สามารถตอบได้ 2 แบบ คือ
ตอบรับ Yes, ประธาน + will / shall / is / am / are
ตอบปฏิเสธ No, ประธาน + won’t / shan’t / isn’t / am not / aren’t
การทำประโยค Future Simple Tense ให้เป็นประโยคคำถาม โดยใช้ Wh – question สามารถทำได้โดยนำ Wh – question มาวางไว้หน้าประโยคคำถามของ Future Simple Tense เช่น

Wh – question
ประโยคคำถามของ Future Simple Tense.
Where
shall I go to picnic?
are they going to play games?
When
will he stay at home?
are you going to see the movie?
How
will they make a garland?
is he going to Hua-Hin?

การตอบประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question Word ไม่สามารถตอบ Yes / No ได้ ต้องตอบด้วยการให้ข้อมูล เช่น คำถามที่ขึ้นต้นด้วย Where ให้ตอบเป็นสถานที่ คำถามที่ขึ้นต้นด้วย When ให้ตอบเป็นเวลา ช่วงเวลา คำถามที่ขึ้นต้นด้วย How ให้ตอบเป็นวิธีการ
Where shall we go this weekend? We shall go to Pattaya.
How is he going to Hong-Kong? He is going to Hong-Kong by plane.
When will you have dinner? I will have dinner at 6 p.m.




แบบฝึกหัด




1. Look at that cloud! We _____ a thunderstorm.
    a. had
    b. have had
    c. are going to have
    d. had had



2. Don't ring up before 9 o'clock. I ___ until then tomorrow evening.
    a. shall be working
    b. am working
    c. have worked
    d. had been working



3. At this time tomorrow, Suda _____to England.
    a. will fly
    b. was flown
    c. will have flown
    d. will be flying



4. By next August, I ______ here for a whole year.
    a. shall have been working
    b. shall work
    c. have worked
    d. am working



5. I _____it to him when he comes back.
    a. am explaining
    b. will explain
    c. had explained
    d. was explaining



6.At 10 o'clock next Sunday, my mother___ some salad in the kitchen.
    a. is cooking
    b. will be cooking
    c. was cooking
    d. has cooked



7. By this time tomorrow, Ampon ________London.
    a. will reach
    b. has reached
    c. had reached
    d. will have reached



8. After the children go to school, I _______ the house.
    a. will clean
    b. had cleaned
    c. was cleaning
    d. have cleaned



9. By next Sunday ,you ______ with us for two weeks.
    a. will stay
    b. have stayed
    c. will have been staying
    d. are staying



10. At this time next week, Ricado ______ in the sea.
    a. was swimming
    b. have swum
    c. will swim
    d. will be swimming



11. By the end of this year, you _____ in KR. School for 6 years.
    a. will study
    b. will have been studying
    c. have studied
    d. had studied



12. When I leave London next month, I _____ here almost a year.
    a. have studied
    b. will be studying
    c. will have studied
    d. will study



13. We will stay in Hawaii for a week, and then we ____ Los Angles.
    a. will visit
    b. have visited
    c. visited
    d. visit



14. By the end of this year, we _____ how to paint on clothes.
    a. will learn
    b. are going to learn
    c. have been learning
    d. will have learned


15. By next month, he _____ all his furniture.
    a. have sold
    b. will have sold
    c. will sell
    d. is going to sell


16. I can't see you tomorrow. I _____the dentist.
    a. saw
    b. was going to see
    c. have seen
    d. am going to see


17. When I see him tomorrow, I _______ him your message.
    a. will have been giving
    b. will be giving
    c. had given
    d. have given


18. By the time Jim returns, Jack ______ all his homework.
    a. will finish
    b. finished
    c. will have finished
    d. finishes


19. Take this medicine then you _____ better soon.
    a. will feel
    b. have felt
    c. are feeling
    d. feel


20.When you read this letter, we ____ to Chieng Mai.
    a. will have driven
    b. will be driving
    c. will have been driving
    d. have driven

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประวัติ วัน ฮาโลวีน

วัน"ฮาโลวีน"
Halloween

วันฮาโลวีน เรามักจะคุ้นเคยเรียกกันเป็นภาษาปากว่า วันปล่อยผี ในวันดังกล่าวมักมีการจัดตกแต่งบ้านเรือน ร้านค้า โดยใช้ฟักทองที่คว้านเป็นรูปผี หรือใช้วัสดุอื่น ๆ ประดิษฐ์เป็นตัวผีหรือทำให้มีหน้าตาเป็นผีเพื่อสร้างบรรยากาศให้กลายเป็นงานรื่นเริง วันฮาโลวันมีที่มาอย่างไร และเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้นในเรื่องนี้ คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล แห่งราชบัณฑิตยสถาน ได้จัดทำคำอธิบายถึงประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของ “ฮาโลวีน” ไว้ดังนี้


ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Evs ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำ Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำ Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่า ๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ)
คำ Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ คำ All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Chrismas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาส ชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไปหลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day)


การสมโภชนักบุญทั้งหลายเริ่มโดยสันตะปาปาโบนีเฟสที่ 4 (Boniface IV ครองอำนาจ ค.ศ. ๖๐๘–๖๑๕) โดยกำหนดวันที่ ๑๓ พฤษภาคมของทุกปี ตั้งแต่ ค.ศ. ๖๑๓ เป็นต้นมา สาเหตุเนื่องจากเป็นวันเปิดโบสถ์แพนทีอัน (Pantheon) อันเป็นโบสถ์สรรพเทพของชาวโรมันมาแต่เดิม และจักรพรรดิโฟกัส (Phocas) ยกให้เป็นของคริสต์ศาสนา ต่อมา สันตะปาปากรีโกรีที่ ๔ (Gregory IV ครองอำนาจ ค.ศ. ๘๒๗–๘๔๔) เปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ พฤศจิกายน ตั้งแต่ ค.ศ. ๘๓๕ เป็นต้นมา
ชาวคาทอลิกขณะนั้นถือว่าวันฮาโลวีนมีความสำคัญคู่เคียงกันกับวันคริสต์มาสและวันอีสเตอร์จึงเริ่มงานตั้งแต่วันก่อนหรือวันสุกดิบ ขณะนั้นเกาะอังกฤษยังรับอำนาจของสันตะปาปาอยู่ ชาวอังกฤษจึงรับนโยบายของสันตะปาปาไปปฏิบัติตาม

ประวัติ
วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป


โคมรูปฟักทอง แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์นบางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสต์กาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสต์กาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน 'All Souls' พวกเขาจะเดินร้องขอ 'ขนมสำหรับวิญญาณ' (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น

การเล่น trick or treat ตามบ้านคนส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้

ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด